ภาษีนิติบุคคลต่างชาติ ในประเทศไทย: สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องรู้ในปี 2025

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติจับตามอง เนื่องจากทำเลอยู่ใจกลางอาเซียน เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการค้า และแรงงานที่มีคุณภาพ แต่สิ่งที่ผู้ประกอบจำนวนไม่น้อยอาจมองข้ามคือ “ภาษีนิติบุคคลต่างชาติ” (Corporate Income Tax for Foreign Companies) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของต่างชาติทีต้องการการทำธุรกิจในไทย

ซึ่งหากไม่เข้าใจรายละเอียดอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีผิด การไม่เข้าใจประเภทของรายได้ หรือการขาดการวางแผนภาษี อาจทำให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป หรืออาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร

บทความนี้  Fahthong Accounting จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติ ตั้งแต่ หลักการพื้นฐาน รายได้ที่ต้องเสียภาษี อัตราภาษี ตัวอย่างการคำนวณ ไปจนถึงกลยุทธ์การวางแผนภาษี 2025 พร้อมคำแนะนำที่ผู้ประกอบการต่างชาติควรรู้

  1. ความหมายของ นิติบุคคลต่างชาติ ในกฎหมายไทย

ภาษีนิติบุคคลต่างชาติ (Foreign Corporate Income Tax) หมายถึง ภาษีที่เก็บจากรายได้ของนิติบุคคลที่ไม่ใช่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย แต่มีรายได้เกิดขึ้นในประเทศไทย

ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 66 และ 70 มีหลักเกณฑ์สำคัญคือ:

  • หากเป็น นิติบุคคลที่ตั้งอยู่ต่างประเทศ แต่มีรายได้จากประเทศไทย เช่น ค่าบริการ ค่าโรยัลตี้ ค่าขนส่ง หรือดอกเบี้ย จะต้องเสียภาษีในอัตราที่กฎหมายกำหนด
  • หากเป็น นิติบุคคลที่เข้ามาประกอบกิจการในไทย (Permanent Establishment: PE) เช่น มีสาขา หรือสำนักงานตัวแทนในไทย จะถูกจัดเก็บภาษีเสมือนเป็นนิติบุคคลไทย

พูดง่ายๆ คือ ใครก็ตามที่ทำธุรกิจในไทย หรือได้รับรายได้จากไทย ไม่ว่าจะมีบริษัทในไทยหรือไม่ ก็อาจต้องเสียภาษี

  1. โครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลต่างชาติ

    การจัดเก็บภาษีนิติบุคคลต่างชาติในไทยอ้างอิงจาก ประมวลรัษฎากร โดยหลัก ๆ มี 2 ระบบ คือ

    1. ระบบภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax: CIT)
      • เก็บจากรายได้ที่นิติบุคคลต่างชาติได้รับจากการประกอบกิจการหรือมีแหล่งรายได้อยู่ในประเทศไทย
      • อัตรามาตรฐาน: 20% ของกำไรสุทธิ
    2. ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax: WHT)
      • กรณีนิติบุคคลต่างชาติไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการในไทย แต่มีรายได้จากไทย
      • ผู้จ่ายเงิน (ในไทย) ต้องทำการหักภาษีและนำส่งกรมสรรพากรทันที
  2.  ประเภทของรายได้ที่ต่างชาติต้องเสียภาษีในไทย

เพื่อให้เข้าใจง่าย เรามาแยกประเภทของรายได้ที่ต่างชาติมักจะเจอในทางปฏิบัติ ดังนี้

  1. รายได้จากการประกอบกิจการในไทย  ถ้านิติบุคคลต่างชาติมี “สถานประกอบการถาวร” (Permanent Establishment: PE) เช่น สำนักงาน สาขา หรือโรงงานในไทย ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามอัตราปกติ (20%)
  2. รายได้ที่ได้รับจากไทย โดยไม่มีสถานประกอบการถาวร เรียกว่า “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” (Withholding Tax) โดยมีอัตราตามกฎหมาย เช่น
  • ดอกเบี้ย: 15%
  • ค่าสิทธิ (Royalty): 15%
  • ค่าบริการ: 15%
  • เงินปันผล: 10%
ประเภทเงินได้ ตัวอย่าง วิธีจัดเก็บภาษี
รายได้จากการประกอบกิจการในไทย บริษัทขนส่งต่างชาติเปิดสาขาในไทย เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%
รายได้จากดอกเบี้ย บริษัทแม่กู้เงินให้บริษัทลูกในไทย หัก ณ ที่จ่าย 15%
รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์ต่างชาติขายสิทธิการใช้งานในไทย หัก ณ ที่จ่าย 15%
รายได้จากเงินปันผล บริษัทต่างชาติถือหุ้นในบริษัทไทย หัก ณ ที่จ่าย 10%
รายได้จากค่าสำรวจ/บริการ บริษัทวิศวกรรมต่างชาติมาให้คำปรึกษาในไทย หัก ณ ที่จ่าย 15%

อย่างไรก็ตาม หากประเทศต้นทางของบริษัทต่างชาติมี สนธิสัญญาภาษีซ้อน (Double Tax Agreement: DTA) กับไทย อัตราภาษีอาจถูกปรับลดลง

  1. อัตราภาษีที่ใช้กับนิติบุคคลต่างชาติ

  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) → อัตรามาตรฐาน 20% ของกำไรสุทธิ
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT)
    • ดอกเบี้ย → 15%
    • ค่าลิขสิทธิ์ → 15%
    • เงินปันผล → 10%
    • ค่าบริการ/ค่าที่ปรึกษา → 15%

หมายเหตุ: อัตราข้างต้นอาจลดลงได้ หากมี อนุสัญญาภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement: DTA) ระหว่างไทยและประเทศต้นทาง

  1. ตัวอย่างการคำนวณ ภาษีนิติบุคคลต่างชาติ

ตัวอย่างที่ 1: บริษัทต่างชาติมีสาขาในไทย

บริษัท ABC จากสิงคโปร์ เปิดสำนักงานในกรุงเทพฯ ให้บริการขนส่งสินค้า รายได้รวม 50 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 30 ล้านบาท

กำไรสุทธิ = 50 – 30 = 20 ล้านบาท
ภาษีที่ต้องชำระ = 20% × 20 = 4 ล้านบาท

ตัวอย่างที่ 2: บริษัทต่างชาติไม่มีสาขาในไทย 

บริษัท XYZ จากญี่ปุ่น ขายสิทธิ์ซอฟต์แวร์ให้บริษัทในไทย คิดค่าลิขสิทธิ์ 10 ล้านบาท

เนื่องจากไม่มีสาขาในไทย บริษัทผู้ซื้อ (ในไทย) ต้องหักภาษี 15% = 1.5 ล้านบาท และนำส่งกรมสรรพากร

บริษัท XYZ ได้รับเงินจริง = 10 – 1.5 = 8.5 ล้านบาท

ตัวอย่างที่ 3: ได้รับเงินปันผล

บริษัท DEF ต่างชาติ ถือหุ้นในบริษัทไทย ได้เงินปันผล 5 ล้านบาท

บริษัทไทยต้องหักภาษี 10% = 0.5 ล้านบาท
บริษัท DEF ได้รับจริง = 4.5 ล้านบาท

  1. สิทธิประโยชน์และการลดหย่อนภาษี ภาษีนิติบุคคลต่างชาติ

นิติบุคคลต่างชาติอาจได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้

  • อนุสัญญาภาษีซ้อน (DTA) → ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย เช่น จาก 15% เหลือ 10%
  • การส่งเสริมการลงทุน (BOI) → ยกเว้นภาษีบางประเภท เช่น กิจการเทคโนโลยีหรือพลังงานสะอาด
  • เครดิตภาษีต่างประเทศ → สามารถนำภาษีที่จ่ายในไทยไปเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องจ่ายในประเทศต้นทาง
  1. ข้อควรระวังที่พบบ่อย

  1. เข้าใจผิดว่า “ไม่มีสาขาในไทย ไม่ต้องเสียภาษี” → ความจริงยังมี WHT
  2. ไม่ตรวจสอบ DTA → เสียภาษีเกินความจำเป็น
  3. ไม่วางแผนโครงสร้างธุรกิจ → ทำให้เกิดการเสียภาษีซ้ำซ้อน
  4. ยื่นแบบล่าช้า → ถูกปรับและเบี้ยปรับสูง

สรุปการวางแผน ภาษีนิติบุคคลต่างชาติ (2025)

  1. ศึกษาสนธิสัญญาภาษีซ้อน (DTA)
    • ไทยมี DTA กับกว่า 60 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน สหรัฐ ฯลฯ
    • ใช้เพื่อลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย
  2. การวางโครงสร้างบริษัท (Holding Company Structure)
    • จัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งในประเทศที่มี DTA ที่ดีต่อไทย เช่น สิงคโปร์ หรือเนเธอร์แลนด์ เพื่อใช้สิทธิ์ลดภาษี
  3. การใช้สิทธิประโยชน์ BOI
    • นักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI อาจได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี
  4. การจัดการ Transfer Pricing
    • ธุรกิจข้ามชาติที่มีธุรกรรมระหว่างบริษัทในเครือต้องปฏิบัติตามกฎหมาย Transfer Pricing ของไทย
  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีในไทย
    • เนื่องจากกฎหมายไทยมีรายละเอียดซับซ้อน และปรับปรุงบ่อ

สรุปข้อมูลสำคัญ

  • นิติบุคคลต่างชาติที่มีรายได้จากไทย ต้องเสียภาษีตามกฎหมายไทย ไม่ว่าจะมีสถานประกอบการในไทยหรือไม่
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: 10–15% ขึ้นอยู่กับประเภทของรายได้
  • ถ้ามี PE ในไทย → เสียภาษีในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ
  • DTA ช่วยลดภาระภาษีได้มาก จึงควรศึกษาให้ละเอียด
  • BOI และกฎหมาย Transfer Pricing เป็นอีกประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนในปี 2025

ภาษีนิติบุคคลต่างชาติ ในไทยไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะมีผลโดยตรงต่อ ต้นทุน กำไร และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ นักลงทุนต่างชาติที่เข้าใจระบบภาษีและวางแผนอย่างรอบคอบ จะสามารถทำธุรกิจในไทยได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

หรือหากผู้ประกอบการยังมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับ การวางแผนภาษี การยื่นภาษี หรือการจัดทำบัญชีในไทย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคือคำตอบที่ดีที่สุด โดย สำนักงานฟ้าทอง แอคเคาน์ติ้ง แอนด์ ออดิท จำกัด พร้อมเป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยมืออาชีพด้านบัญชีและภาษีสำหรับนักลงทุนต่างชาติทุกท่าน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เลขที่ 311/2 หมู่ที่ 6 ตำบลโสนลอย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 11110

โทร. 094 981 2888 , 093 379 8488

E-mail: fahthongacc@gmail.com

LINE : @fahthongacc

อ้างอิง

  • กรมสรรพากร. (2568). ประมวลรัษฎากรและประกาศที่เกี่ยวข้อง.
  • OECD. (2023). Model Tax Convention on Income and on Capital.
  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI). (2567). มาตรการส่งเสริมการลงทุน.
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2567). รายงานเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย.